วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2553

ประวัติวัดดวงดี โดยย่อ

วัดมีเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่-งาน 60 ตารางวา ซึ่งประวัติของวัดไม่เป็นที่ปรากฏแน่ชัดนัก แต่ตามหลักฐานที่ทางอดีตเจ้าอาวาส (พระอธิการบุญชู อภิปุญฺโญ) ได้ขอให้คุณปวงคำ ตุ้ยเขียว ค้นคว้าและเรียบเรียงประวัติวัดดวงดี เพราะเป็นวัดเก่าแก่แห่งหนึ่งของนครเชียงใหม่ วัดดวงดีมีหลายๆ ชื่อ เช่น วัดพันธนุนมดี วัดอุดมดี วัดพนมดี ในปี พ.ศ.2513 คุณปวงคำได้เป็นผู้ช่วยวิจัยในโครงการวิจัยคำจารึกบนฐานพระพุทธรูป ในตำบลศรีภูมิกับตำบลพระสิงห์ โดยมี ดร.ฮันส์ เพนธ์ เป็นหัวหน้า ซึ่งได้พบคำจารึกบนฐานพระพุทธรูปโลหะองค์หนึ่ง ประดิษฐานอยู่ในวิหาร จารึกด้วยอักษรไทยยวน มีความว่า

"สกราชได้ 859 ปีวายสี พระเจ้าตนนีแสนนืงไว้วัดต้นมกเหนือ"
(จ.ศ.858 พ.ศ.2039 สมัยพระเจ้ายอดเชียงรายครองเมืองเชียงใหม่)

พระพุทธรูปองค์นี้ถ้าไม่มีผู้นำมาจากที่อื่น แต่สร้างขึ้นในวัดนี้ หมายความว่าวัดดวงดีต้องสร้างขึ้นก่อนปี พ.ศ. 2039 วัดดวงดีมีชื่อเรียกอีกอย่างคือ วัดต้นมกเหนือ หรือวัดต้นหมากเหนือ สร้างขึ้นภายหลังที่พญามังรายสร้างเมืองเชียงใหม่แล้ว และคงมีเจ้านายเมืองเชียงใหม่คนหนึ่งเป็นผู้สร้าง ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ กล่าวถึงวัดดวงดี เมื่อ พ.ศ.2304 พระภิกษุวัดนี้ ได้รับนิมนต์ให้ขึ้นครองเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่เชียงใหม่เป็นอิสระ ก่อนที่พม่าจะกลับเข้ามาปกครองอีกครั้งหนึ่ง (พ.ศ. 2306 - 2317) ลุจุลศักราช 1136 ในปีพ.ศ. 2317 พระเจ้ากาวิละ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทัพพระเจ้ากรุงธนบุรี สามารถยึดเมืองเชียงใหม่คืนจากพม่าได้ เมื่อวันอาทิตย์ขึ้น 15 ค่ำ เดือนห้าเหนือ เมืองเชียงใหม่จึงเจริญรุ่งเรืองจนถึงปัจจุบัน วัดนี้เคยใช้เป็นสำนักเรียนสำหรับลูกเจ้าขุนมูลนายในสมัยก่อน และยังเคยถูกใช้เป็นสถานที่เรียนของนักเรียนยุพราชวิทยาลัยก่อนที่จะมีการก่อสร้างแล้วเสร็จอีกด้วย
ในปี พ.ศ. 2362 สมัยพระญาธรรมลังกา เจ้าหลวงเชียงใหม่องค์ที่ 2 ได้มีการบูรณะและฉลองสมโภช ภายในวัดมีวิหารและหอธรรม ประดับด้วยไม้แกะสลักปิดทองที่สวยงาม
 
ปูชนียสถานที่สำคัญของวัดซึ่งเป็นมรดกล้ำค่า โดยกรมศิลปกรได้ประกาศขึ้นทะเบียน เป็นโบราณสถานแห่งชาติ ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 76 ตอนที่108 ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2522 รวม 4 รายการ คือ


๑. วิหาร จากหนังสือประวัติวัดดวงดี พิมพ์เมื่อพ.ศ. ๒๕๑๕ กล่าวว่าแม่เจ้าจันทน์หอมเป็นผู้คิดสร้าง แต่ไม่ทราบปีที่สร้าง แต่พระเทพวรสิทธาจารย์ อดีตเจ้าคณะเชียงใหม่ รูปที่ 8 เมื่อครั้งดำรงสมศักดิ์เป็น เจ้าคุณอุดมวุฒิคุณ รองเจ้าคณะเชียงใหม่ บอกว่าเจ้าอินทรวโรรสสุริยวงศ์ (น้อยสุริยะ) เป็นผู้สร้าง แต่ไม่ปรากฏปีสร้างแน่ชัด ในปี พ.ศ. 2549 กรมศิลปกร ได้ทำการบูรณปฏิสังขรณ์ตามรูปแบบเดิม เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชย์ครบ 60 ปี และทรงพระชนมายุครบ 80 พรรษา ในปี พ.ศ. 2550 ลักษณะวิหารเป็นวิหารแบบล้านนา ที่ได้รับอิทธิพลสถาปัตยกรรมต้นรัตนโกสินทร์ คุณค่าของวิหารแห่งนี้อยู่ที่ลวดลายแกะสลักไม้ประดับสถาปัตยกรรม เช่น ค้ำยันหูช้างแกะเป็นลวดลายสวยงาม รวมทั้งลวดลายแกะสลักเหนือกรอบประตูทางสถาปัตยกรรม

๒. อุโบสถ ไม่ปรากฏปีที่สร้างและผู้ที่สร้าง ลักษณะเป็นแบบพื้นเมืองล้านนาที่มีแบบอย่างทางสถาปัตยกรรมและลวดลายประดับตกแต่งที่งดงาม รูปทรงโบสถ์มีขนาดเล็กหลังคาซ้อนชั้นแบบล้านนา๒ ชั้น หน้าบันและลวดลายตกแต่งแกะสลักปิดทองประดับกระจก ค้ำยันหูช้างแกะสลักไม้เป็นลวดลาย มีใบเสมาปักโดยรอบ

๓. พระเจดีย์ หนังสือประวัติวัดดวงดีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕ กล่าวว่าพระมหาเกสระอดีตเจ้าอาวาสเป็นผู้คิดสร้างไม่ปรากฏปีที่สร้าง ลักษณะสำคัญของพระเจดีย์องค์นี้คือ ฐานสี่เหลี่ยมย่อเก็จมีช้างที่มุมทั้ง ๔ แต่เข้าใจว่ามาเพิ่มเติมทีหลังเพราะลักษณะไม่สัมพันธ์กับองค์เจดีย์ ถัดฐานสี่เหลี่ยมย่อเก็จขึ้นไปเป็นชีพมาลัยเถา ๘ เหลี่ยม องค์ระฆังกลม บัลลังก์ ปล้องไฉน และปลียอด
๔. หอไตร ทำเป็นทรงแบบมณฑป มีหลังคาย่อ ซ้อนกัน 3 ชั้น หน้าต่างทำเป็นซุ้มอยู่โดยรอบ จากสมุดข่อย “ปั๊บหลั่น” ที่บันทึกด้วยอักษรไทยยวนกล่าวว่าเจ้ามหาอุปราชมหาวงศ์ เป็นผู้สร้างเมื่อ จ.ศ. ๑๑๙๑ (พ.ศ. 2372) สร้างเดือน 7เหนือ แรม 11ค่ำ หลังจากสร้างหอไตรถวายวัดดวงดีเสร็จ ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ องค์ที่ 5 ของเชื้อเจ้า 7 องค์ ลักษณะทรวดทรงเป็นหอไตรทรงมณฑปที่เป็นแบบพื้นเมืองล้านนา ตัวหอไตรทรงสี่เหลี่ยมก่ออิฐถือปูน ส่วนหลังคาหรือยอดเป็นทรงมณฑปหลังคาซ้อนลดหลั่นกัน ๓ ชั้นประดับด้วยลวดลายตรงบริเวณสันหลังคา

นอกจากนั้นอาคารกุฏิครึ่งปูนครึงไม้ เป็นอาคารเก่าที่มีคุณค่าอีกอาคาร สร้างใน ปี พ.ศ. 2473 โดยพระอธิการอินตา

วัดดวงดีมีพระพุทธรูปซึ่งถือว่าเก่าแก่อยู่คู่กับวัด สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นโดยเจ้านายเมืองเชียงใหม่คนใดคนหนึ่ง แต่ไม่ทราบนามโดยชัดเจน ประมาณในปี พ.ศ. 2039 โดยความที่พระพุทธรูปองค์นี้อยู่คู่กับวัดดวงดีมาเป็นเวลาช้านาน จึงเป็นที่เคารพสักการะของคนทั่วไป โดยมักเข้ามากราบนมัสการขอพร ตามคติความเชื่อที่ว่าจะให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างปกติสุข จึงได้ชื่อว่าพระพุทธรูปดวงดี ตามนามของวัด
อ้างอิง:
  • หนังสือประวัติวัดดวงดี, 2515
  • ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ และ ศูนย์วัฒนธรรม สถาบันราชภัฏจังหวัดเชียงใหม่. 2535. วัดสำคัญของนครเชียงใหม่. เล่ม 1. เชียงใหม่ : ส ทรัพย์การพิมพ์.

ประวัติวัดปันเส่าโดยย่อ

วัดปันเส่า ( คำว่า เส่า เป็นภาษาล้านนา หมายถึงเตาสำหรับหลอมโลหะ คำว่า ปัน เป็นการนับจำนวนของชาวล้านนา หมายถึง จำนวน ๑,๐๐๐) ตามประวัติศาสตร์ที่พบจากจารึกต่าง ๆ พบว่า วัดปันเสา เป็นวันที่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์มังราย โดยเริ่มก่อสร้างในรัชสมัยของพญาผายูถึงรัชสมัยของพญากือนา โดยได้สร้างองค์เจดีย์ขึ้นองค์หนึ่งเป็นเจดีย์ขนาดเล็กไม่ใหญ่นัก ต่อมาในสมัยของพญาเมืองแก้ว ทรงมีความดำริที่จะหล่อพระพุทธรูปเจ้าเก้าตื้อ จึงมีบัญชาให้กับนายทหารที่มีฝีมือทางการช่างชื่อปู่ด้ง ได้ไปเสาะหาสถานที่สำหรับหล่อพระพุทธรูป ปู่ด้งจึงเสาะหาตามบัญชา และพบว่าด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ นอกกำแพงเมืองเชียงใหม่ มีชัยภูมิที่มีความเหมาะสมและเป็นมลคงเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากบริเวณนี้มีน้ำไหลผ่านซึ่งเป็นน้ำที่ไหลมาจากน้ำตกห้วยแก้ว ไหลลงสู่คูเมืองเชียงใหม่ (แด่เดิมไหลผ่านกลางวัดปัน ปัจจุบันได้แห้งไปหมดแล้ว) พญาเมืองแก้ว จึงได้ให้นายช่างทอง ทำการก่อเตาเส่า (เตาหลอมโลหะ) ในบริเวณนี้ จำนวน ๑,๐๐๐ เตา แล้วหลอมโลหะหล่อพระพุทธรูปเป็น ๙ ท่อน และได้ทำการเคลื่อนย้ายจากบริเวณนี้ ไปประกอบเป็นองค์พระพุทธรูปที่อุทยานบุพพาราม (วัดสวนดอกในปัจจุบัน) และสถาปนาชื่อพระพุทธรูปว่า พระพุทธรูปเก้าตื้อ ( คำว่าตื้อ หมายถึง ท่อน คือ พระมีจำนวน ๙ ท่อน หรือ ๙ ส่วน) บางแห่งเขียนบอกว่าเป็นจำนวนนับน้ำหนักของคนล้านนาโบราณ (ตื้อ เท่ากับ สิบ โกฎิ) หลังจากนั้นพญาเมืองแก้ว ก็มีบัญชาสั่งให้นายช่างทำการลื้อเตาส่าทั้งหมด และได้ก้อนอิฐเป็นจำนวนมาก จึงได้ทำการบูรณองค์เจดีย์เดิมของวัด ซึ่งใช้วิธีการสร้างเจดีย์ครอบเจดีย์เดิมอีกชั้นหนึ่ง มีลักษณะเป็นศิลปะล้านนาผสมสุโขทัย และล้านช้าง และได้สถาปนาชื่อวัดว่า “วัดเจดีย์ปันเส่า” วัดเจดีย์ปันเส่ามีความเจริญรุ่งเรืองมาโดยลำดับ ต่อมาเมื่อพม่าได้เข้ามาตีเมืองเชียงใหม่ ทำให้วัดเจดีย์ปันเส่าถูกเผาเสียหายทั้งหมด เนื่องจากเสนาสนะทั้งหมดของวัดสร้างด้วยไม้สัก คงเหลือแต่องค์เจดีย์เท่านั้นที่ไม่ถูกทำลาย แต่ก็ได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก ต่อมาก็มีมารศาสนาได้ลักขุดหาสมบัติภายในองค์เจดีย์ไปจนหมด และร้างนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และคงเหลือแต่องค์เจดีย์ปันเสาเพียงองค์เดียวที่เป็นโบราณสถานระบุว่าเคยเป็นบวิเวณวัดในอดีต ต่อมาสถานที่แห่งนี้ ได้ใช้เป็นที่เลี้ยงช้างทรงของเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์สุดท้าย และช้างทรงของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี (พระราชายาในรัฐกาลที่ ๕) (ได้มาจากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ภายในชุมชนแจ่งหัวริน และชุมชนบ้านป่าพร้าวนอก) จากนั้นก็มีการออกโฉนดที่ดินให้กับวัด โดยมีพื้นที่ทั้งหมด ๒ ไร่ ๒ งาน ๘๒ ตารางวา (ซึ่งพื้นที่อื่น ๆ ของวัดได้ถูกบุกรุก และกลายเป็นที่ดินเอกชน รวมทั้งบางส่วนกลายเป็นที่ราชพัสดุเนืองจากไม่มีหลักฐานชัดเจนที่แสดงว่าเป็นที่ดินของวัดแต่เดิม) หลังจากนั้นก็มีการแผ่วถางบริเวณเพื่อที่จัดสร้างเป็นโรงพยาบาลสวนดอก (โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ในปัจจุบัน) ต่อมาโรงพยาบาลสวนดอกมีผู้ป่วยเป็นจำนวนมาก พื้นที่บริเวณวัดจึงไม่เพียงพอที่จะขยาย โรงพยาบาลสวนดอกจึงได้ย้ายออกไปสร้างในสถานที่แห่งใหม่และเปลี่ยนชื่อเป็นโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ หลักจากนั้นศูนย์มาลาเรีย เขต ๒ เชียงใหม่ ได้ทำการขอเช่าที่ดินของวัดกับ กรมการศาสนาในสมัยนั้น ต่อมาเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๕๐ ทางศูนย์มาลาเรีย เขต ๒ เชียงใหม่ ได้บอกคืนพื้นที่ของวัดให้กับสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่ ทางคณะสงฆ์จึงได้มอบหมายให้พระเทพวรสิทธาจารย์ รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยสุเทพฯ ประธานมูลนิธิพระบรมธาตุดอยสุเทพ ฟื้นฟูให้เป็นวัดที่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยมอบหมายให้พระมหาอาวรณ์ ภูริปญฺโญ เป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งริเริ่มจัดตั้งเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมวัดปันเสา โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อที่จะสร้างเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมสำหรับศรัทธาประชาชนโดยทั่วไป และสร้างเป็นสถานที่สำหรับรองรับพระสงฆ์ที่เดินทางมาจากต่างจังหวัดเพื่อมารับการรักษาพยาบาลที่ตึกสงฆ์ของโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ แต่ไม่มีที่พักก็จะใช้สถานที่แห่งนี้เป็นที่พักชั่วคราว และจะสร้างถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในปัจจุบันนี้กำลังมีการก่อสร้าง “วิหารจันทรสถิตมหาทานบารมีศรีชัยมงคล” (เปี่ยม-เอี่ยม จันทรสถิตย์) และมีการระดมทุนทรัพย์เพื่อก่อสร้างอาคารที่พักรับรองพระสงฆ์จำนวน ๒ หลัง โดยจะใช้เป็นสถานที่รับรองพระสงฆ์จากทั่วสารทิศที่เดินทางมาเพื่อเข้ารับการรักษาพยาบาลที่ตึกสงฆ์โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ซึ่งจะใช้ปัจจัยในการก่อสร้างทั้งหมด ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท (ยี่สิบล้านบาท) ศรัทธาประชาชนทุกท่านสามารถร่วมเป็นเจ้าภาพในการสร้างวัดแห่งนี้ได้ โดยวัดแห่งนี้จะเป็นวัดเพื่อพระสงฆ์อาพาธจากทิศทั้ง ๔ จะได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “ผู้ใดพยาบาลภิกษุผู้อาพาธ ผู้นั้นเปรียบเสมือนอุปัฏฐากเราตถาคต”

ที่มา: http://watpansao.in.th/

ประวัติวัดอุโมงค์ (สวนพุทธธรรม) โดยย่อ

วัดอุโมงค์ หรือ สวนพุทธธรรม สร้างเมื่อ พ.ศ. ๑๘๐๔ เป็นวัดเก่าที่พระเจ้ามังรายทรงโปรดให้สร้างขึ้น ณ บริเวณป่าไผ่ ๑๑ กอ เพื่อให้เป็นที่พำนักของพระภิกษุฝ่ายอรัญวาสีจากลังกา ๕ รูป โดยยึดแบบแผนของลังกาเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งเขตพุทธาวาส สังฆวาส หรือ รูปทรงเจดีย์ ต่อมารัชกาลที่ ๙ พระเจ้ากือนา ได้ทรงบูรณะองค์เจดีย์ให้โตขึ้น และสร้างอุโมงให้เป็นที่พำนักของ
มหาเถรจันทร์ระหว่าง พ.ศ. ๑๙๑๐-๑๙๓๐ แล้วทรงขนานนามวัดว่า วัดเวฬุกัฏฐาราม ซึ่งหมายถึงไผ่ ๑๑ กอ แต่ชาวบ้านทั่วไปมักเรียกว่าวัดอุโมง ค์เถรจันทร์
สิ้นสมัยพระเจ้าติโลกราช วัดอุโมงค์ไม่ได้รับการดูแล หรือบูรณะเหมือนในสมัยก่อน ๆ วัดจึงกลายเป็นวัดร้างไป โดยไม่ปรากฏหลักฐานชัดว่าเริ่มร้างจริงๆ เมื่อไร
พ.ศ. ๒๔๙๐ มีพุทธมามกะกลุ่มหนึ่งร่วมกันก่อตั้งพุทธนิคมขึ้น และได้อาราธนาพุทธทาสภิกษุ แห่งสวน
โมกขพลาราม ขึ้นมาแสดงธรรมในเชียงใหม่ ๑๕ วัน และในปีรุ่งขึ้นชาวพุทธนิคมไปเชิญปัญญานันทภิกขุ มาประจำที่เชียงใหม่ และเทศนาโปรดชาวเมืองทุกวันอาทิตย์ และ
วันพระ ต่อมาชาวพุทธนิคม ได้พากันไปบูรณะบริเวณวัดอุโมงค์ ซึ่งร้างมานานนั้นขึ้นเป็น “สวนพุทธธรรม”
และเป็นสำนักงานของหนังสือพิมพ์ “ชาวพุทธ” วารสารรายเดือน ซึ่งเริ่มออกใน พ.ศ. ๒๔๙๕
ประวัติความเป็นมา
นอกจากบูรณะเจดีย์เก่า อุโมงค์เก่า พระพุทธรูปเก่า ให้คงสภาพดีดังเดิมแล้วยังได้สร้างศาลา กุฏิ ห้องสมุด และอาคารที่จำเป็นต่างๆ เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ จนวัดอุโมงกลับคืนสภาพเป็นวัดที่สมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง

ที่มาของข้อมูล: ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ และ ศูนย์วัฒนธรรม สถาบันราชภัฏจังหวัดเชียงใหม่. 2535. วัดสำคัญของนคร
เชียงใหม่. เล่ม 3. เชียงใหม่ : ส ทรัพย์การพิมพ์.

วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ใจบ้าน, ใจเมือง, สะดือเมือง, เสื้อเมือง: รูปธรรมลัทธิความเชื่อผีล้านนา

หลักฐานที่อ้างอิงได้เก่าที่สุดจากบันทึกของตำนานและโบราณสถาน พบว่าก่อนอาณาจักรล้านนา และย้อนไปต้นอาณาจักรโยนกนาคพันธุ์ ราวปี พ.ศ.๑๔๕๔ พระมหากัสสะปะเถระและพระเจ้าอุชุราช กษัตริย์นครโยนกนาคพันธุ์ ได้ประดิษฐานพระพุทธศาสนาโดยกำหนดสร้างพระธาตุดอยตุง เป็นสัญลักษณ์ ท่ามกลางไพร่ไทชาวไตโยนและพี่น้องชาวลัวะ (ละว้า) ที่ร่วมอยู่อาศัยในอาณาจักรเดียวกัน โดยได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ พระรากขวัญเบื้องซ้าย (กระดูกไหปลาร้า) บรรจุในพระเจดีย์ธาตุบนดอยตุง ไม่ปรากฏว่ามีหลักฐานที่มีการสร้างพระธาตุที่เก่าแก่กว่านี้ ในสมัยนั้นลัทธิความเชื่อผียังเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ทั้งลัทธิความเชื่อผีของชาวลัวะพื้นถิ่นเดิม และลัทธิความเชื่อผีของชาวไตโยน

การศึกษาในลัทธิความเชื่อผีของชาวลัวะและชาวล้านนาในสมัยหลัง เป็นหลักฐานอันดีที่แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาความเชื่อที่รักษาวัฒนธรรมประเพณีของสังคมท้องถิ่นไว้ได้เป็นอย่างดี ชาวลัวะมีความเชื่อเรือ่งผีน้อยใหญ่ ผีใหญ่ที่สุดที่เซ่นไหว้ มีหลักฐานปัจจุบันที่ยังหลงเหลือ คือ การเลี้ยงผี "สะไปว์ตะยวง" ซึ่งจากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าในหมู่บ้านชาวลัวะแถบแม่แจ่มและแม่ลาน้อยกล่าวว่า เป็นประเพณีดั้งเดิมที่จะจัดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนผู้นำ และเชื่อกันว่า การเลี้ยงผีใหญ่นี้จะทำให้ชาวบ้านอยู่ร่มเย็นเป็นสุข ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ และผีที่พวกเขานับถือจะคุ้มครองให้ปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ โดยจุดทำพิธีจะอยู่ที่ศาลผีซึ่งมีเสาสะกัง หรือเสาสักการะที่ลานด้านหน้าหรือใจกลางหมู่บ้าน เสาสะกังเป็นเอกลักษณ์ประจำผู้นำหมู่บ้าน หนึ่งต้นต่อหนึ่งผู้นำ มีการแกะสลักลำต้นไม้ที่นำมาทำเสาอย่างพิเศษสวยงาม แตกต่างกันไปตามแต่ละหมู่บ้าน ในสมัยก่อนตั้งเมืองเชียงใหม่นั้น พื้นที่เดิมเป็นเมืองนพบุรีของชาวลัวะ ๙ หมู่บ้าน การสร้างเมืองเชียงใหม่ของพญามังราย ได้มีกุศโลบายรวมเสาทั้งหมดเข้าสู่จุดศูนย์กลางเมืองเชียงใหม่ เรียกว่า "เสาอินทขิล" เป็นคติการสร้างที่หมายเมือง (land mark) ที่สอดคล้องกับคติการสร้างเมืองของไตโยนแห่งโยกนาคนครเดิม ที่กำหนดศูนย์กลางเมืองเป็นสะดือเมือง พัฒนาการของคติเช่นนี้ได้ปรากฏขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม และส่งผลพลังที่ยิ่งใหญ่ทางนามธรรมต่อจิตใจของผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองเชียงใหม่ให้มีศูนย์รวมจิตใจและเสริมสร้างความสามัคคี นับแต่เมื่อแรกสร้างเมือง

คติการปักเสาศักดิ์สิทธิ์กลางหมู่บ้านเพื่อการสักการะนี้ มีพัฒนามาเนิ่นนานเกินกว่า ๒,๐๐๐ ปีที่แล้ว ชนชาติไตทางตอนเหนือของดินแดนสามเหลี่ยมทองคำ และแถบลุ่มน้ำโขงที่อยู่สูงขึ้นไป รวมทั้งชาวลัวะบนเขาในพื้นที่ใกล้เคียง ต่างมีเสาสักการะกลางหมู่บ้านเช่นกัน แต่แตกต่างทางวัฒนธรรมและอยู่อาศัยคนละแห่งไม่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน จวบจนยุคสมัยการแผ่อิทธิพลของกุบไลข่านจากมองโกลลงมายังดินแดนตอนใต้ของประเทศจีนปัจจุบัน อันเป็นที่อยู่อาศัยของชาวไต เผ่าต่างๆ นำโดยไตลื้อ ไตยวน ไตใหญ่ ชาวลัวะ และชาวเขาบางเผ่า รวมพลังต่อต้านการรุกรานของกุบไลข่านผู้กระหายอำนาจในเวลานั้นจนสำเร็จ ทำให้เริ่มมีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน มีการช่วยเหลือกัน แม้แต่ในช่วงระยะเวลาก่อนหน้านั้นที่มีการขับไล่กรอม (ขอม) ออกไปจากดินแดนลุ่มแม่น้ำโขง ก็ได้อาศัยความร่วมมือร่วมใจของชาวไตลื้อ ไตโยน ลัวะ และอาจรวมถึงชาวข่าเผ่าต่างๆ ทำให้วงศ์ลาว (ราชวงศ์ลวจังกราช) ได้เกิดขึ้น ได้เชื่อมต่อพัฒนาการของราชวงศ์สิงหนวัตที่สัมพันธ์กับชาวไตโบราณทางตอนเหนือมาสร้างดินแดนใหม่ลุ่มน้ำโขง ณ เมืองสุวรรณโคมคำ สืบต่อถึงการตั้งแคว้นหิรัญนครเงินยวง (หิรัญนครเงินยาง) อันเป็นแคว้นที่ประสูติของพญามังรายมหาราช ขณะเดียวกันลูกหลานไตต้นราชวงศ์ลาวก็ได้แผ่ขยายไปในดินแดนชวา (ภายหลังคือหลวงพระบาง) จนมีการรวบรวมผู้คนและแว่นแคว้นขึ้นในลุ่มน้ำโขง น้ำคาน และน้ำอู โดยพระเจ้าฟ้างุ้ม ก่อตั้งอาณาจักรล้านช้าง ณ ดินแดนริมน้ำโขง มีหลวงพระบางเป็นราชธานี เมื่อปี พ.ศ. ๑๘๙๖ – ๑๙๖๑ โดยการสนับสนุนของกษัตริย์ขอมผู้เป็นพ่อตา หลังจากนั้นจึงเริ่มรับเอาพุทธศาสนาเข้ามาแทนการนับถือผี

ชาวไตโบราณหลายเผ่าในยูนนาน โดยเฉพาะชาวไตใหญ่ และ ไตลื้อที่เป็นบรรพบุรุษสาขาใหญ่ของชาวไตลุ่มแม่น้ำโขงและของชาวไตโยน ได้มีลัทธิความเชื่อผีมาก่อนแล้ว ในหมู่บ้านมีข่วงใจบ้าน หมายสัญลักษณ์ไว้ด้วยหินหรือเสาไม้เนื้อแข็ง อันเป็นที่สิงสถิตของเหล่าอาฮักษ์บรรพุรุษ คติการสร้างใจบ้านและใจเมืองจึงมีมานานเนิ่นแล้ว แม้ปัจจุบันก็ยังสามารถพบหลักฐานของเสาใจบ้านใจเมืองเหล่านั้นได้ทั้งในเขตยูนนาน ในเขตรัฐฉาน ในอัสสัม ในล้านนา ในเวียดนามแถบลุ่มแม่น้ำดำแม่น้ำแดง และในลาว แต่ในลาวและเวียดนามอาจพบว่ามีการสูญหายไปมากเนื่องด้วยผลกระทบทางด้านการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

คำว่า "สะดือเมือง" ได้ปรากฏมีในตำนานต่างๆ ในล้านนา ที่กล่าวถึงหลักฐานเก่าที่สุดที่บันทึกกล่าวถึงการหมายกลางเมืองด้วยการกำหนดเอาต้นเงินยวงในเมืองเงินยวงเป็นศูนย์กลางเมืองใหม่ ภายหลังจากการล่มของเวียงโยนกนาคพันธ์ จวบจนเมื่อมีการสร้างเมืองใหม่ที่สำคัญในสมัยพญามังราย ได้แก่เมืองเชียงราย เมืองไชยปราการ เมืองพร้าว เป็นต้น พบว่าได้มีการกล่าวถึงการกำหนดสะดือเมือง และใจเมือง ด้วยการหมายตำแหน่งบนยอดดอย และการปลูกหรือยึดตำแหน่งต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ หรือปักเสาสักการะ เป็นเสื้อเมือง คตินี้เป็นแบบอย่างของคติชาวไตลื้อ ไตโยน และไตหลายเผ่า พบเห็นได้ทั่วไปทั้งในระดับหมู่บ้านเล็กๆ จนถึงระดับเมือง เช่น หมู่บ้านไตลื้อในสิบสองปันนา หมู่บ้านไตเขินในเชียงตุง หมู่บ้านไตโยนในเชียงใหม่ เป็นต้น ส่วนระดับเมืองได้แก่ เมืองเชียงตุง เมืองเชียงรุ่ง เมืองเชียงทอง (หลวงพระบาง) เมืองเชียงใหม่ เป็นต้น

คติความเชื่อว่าเมืองเหมือนมนุษย์ของชาวล้านนา ทำให้เมืองมี หัวเมือง ใจเมือง สะดือเมือง ตีนเมือง ที่สัมพันธ์กับความเชื่อเรื่องทิศ นักวิชาการจำนวนมากลงความเห็นว่า ลัทธิพราหมณ์-ฮินดู ที่มีอิทธิพลต่อชาวลัวะพื้นถิ่นในช่วงสมัยหริภุญชัยและก่อนหน้านั้น มีบทบาทต่อความเชื่อดังกล่าว สันนิษฐานว่าได้รับมาจากคติการสร้างเมืองของทวาราวดีและขอมโบราณที่รับมาจากอินเดียอีกต่อหนึ่ง หลังจากการเกิดขึ้นของอาณาจักรล้านนา เมื่อพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองถึงยุคทองของล้านนา ได้มีการเสริมคติทางศาสนาพุทธด้านการเสริมศิริมงคลให้แก่เมือง โดยกำหนดทักษาเมืองขึ้นในเมืองสำคัญของล้านนา ภายหลังเมื่อล้านนาเสื่อมลง ลัทธิความเชื่อผี รวมทั้งคติการสร้างเมืองและรักษาเมืองได้เสื่อมลงตาม ปัจจุบันมีการปฏิบัติหลายสิ่งที่ขัดต่อจารีตประเพณีดั้งเดิมเป็นอันมาก เป็นที่กล่าวขวัญกันของชาวล้านนาผู้อาวุโสที่เชื่อว่านำมาซึ่งความอัปมงคลหรือที่เรียกว่า "ขึดบ้านขึดเมือง" เช่น การเผาผีในเมือง เป็นต้น

วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2552

พัฒนาการสถาปัตยกรรมล้านนา (ตอน ๑)

เรื่องราวทางสถาปัตยกรรมของล้านนา มีพัฒนาการเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงของบริบททางประวัติศาสตร์ การเมือง สังคม และเศรษฐกิจ ของชนชาติไท ซึ่งมีมานานหลายพันปี ชาวไตยวนเป็นชาติพันธุ์หลักในล้านนาที่สืบสานวัฒนธรรมสืบเนื่องกับวัฒนธรรมไทเดิมในยูนนาน เช่นเดียวกับชาวไตใหญ่ ชาวไตลื้อและไตกลุ่มกลุ่มต่างๆ ซึ่งนักวิชาการไทยและจีนบางส่วนสันนิษฐานกันตามหลักฐานทางโบราณคดีอันเก่าแก่ ด้านการตั้งที่อยู่อาศัยบนแอ่งที่ราบติดแม่น้ำแยงซีเกียง สร้างเรือนยกพื้นสูง การใช้เครื่องปั้นดินเผาก้นมนและแบบมีฐานสามเส้า และเครื่องใช้สัมฤทธิ์ เป็นต้น ซึ่งเป็นหลักฐานทางวัฒนธรรมชาวปาโบราณ ก่อนที่ราชวงศ์ฉินของจีนจะมารุกราน พงศาวดารจีนมีหลักฐานการกล่าวถึงชนชาติที่อยู่บริเวณแถบต้นลุ่มน้ำแยงซีเกียง และกล่าวถึงชาวไป๋ (ปาไป๋ซีฟู่) ซึ่งนักวิชาการส่วนใหญ่ในปัจจุบันได้ลงความเห็นว่าเป็นต้นตระกูลของคนไท เพราะรูปลักษณะสันฐาน วิถีชีวิตความเป็นอยู่ รูปแบบที่อยู่อาศัย เครื่องใช้ไม้สอย ยังสอดคล้องกับอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ไทอยู่ในปัจจุบัน หลักฐานที่เห็นได้ชัดได้แก่ กลองมโหระทึกสำริด การแต่งกายของคนและสิ่งปลูกสร้างที่ปรากฏอยู่บนเครื่องสำริด และวัฒนธรรมการกินข้าวเหนียว

หลักฐานทางโบราณคดีที่เกี่ยวกับรูปแบบการอยู่อาศัยเก่าแก่ที่สุดขุดพบอิฐโบราณ มีการแกะสลักรูปบ้านเรือนยกใต้ถุนสูง มีชานเรือน และมีหลังคาเรือนมุงด้วยหญ้าหรือใบไม้แห้ง มีการใช้วัวและม้าเทียมเกวียน อิฐโบราณนั้นมีอายุมากกว่า ๑,๕๐๐ ปี เช่นเดียวกันกับกลองมโหระทึกที่มีประติมากรรมสิ่งก่อสร้างที่อยู่อาศัยยกพื้นสูง และเรือบนกลองสำริด ตามหลักฐานการขุดค้นทางโบราณคดีของจีนก็พบหลักฐานการขุดฝังเสาเรือนลงไปในดินของกลุ่มชาวปา ชาวไป๋ ทุกวันนี้ชาติพันธุ์ที่มีเชื้อสายเกี่ยวโยงกับชาวปา ชาวไป๋โบราณ ได้มีจำนวนมากในพื้นที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำแยงซีเกียง ไล่ลงมาทางทิศใต้ของยูนนาน เชื่อมต่อไปยังกวางสีและกวางตุ้ง ซึ่งมีชนเผ่าทางตอนใต้ประเทศจีนที่มีวัฒนธรรมไทจำนวนมาก เช่น เผ่าจ้วง และแน่นอนที่เห็นได้ชัดคือทางตอนเหนือของเวียตนาม ลาว ไทย พม่า และอินเดีย เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของคนไทอย่างปฏิเสธไม่ได้

เรือนอยู่อาศัยเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดในการดำรงชีพ พบว่าเรือนชาวไทเผ่าต่างๆ สร้างด้วยระบบเสาคานไม้เนื้อแข็ง หรือไม้ไผ่ ยกพื้นสูง มีชานแดด ชานร่ม ห้องในเรือนเป็นห้องนอนเป็นหลัก ซึ่งแต่โบราณสมาชิกในครอบครัวใช้ที่ว่างในห้องนอนร่วมกัน อาจมีการกั้นด้วยผ้าเกิ้ง (ม่าน) ไม่มีการทำห้องนอนหลายห้อง โครงสร้างเรือนส่วนใหญ่เป็นไม้ไผ่ ไม่ว่าจะเป็น เสา คาน ตง ผนัง นิยมใช้หญ้าคามุ่งหลังคาเรือน ใต้ถุนเรือนใช้เก็บเครื่องใช้กสิกรรม เลี้ยงไก่เลี้ยงหมูบ้าง นิยมนั่งพักผ่อนหรือทำงานบนชานหรือชานร่ม (เติ๋น)

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ความสัมพันธ์ของสถาปัตยกรรมหริภุญชัยและสถาปัตยกรรมล้านนา

หริภุญไชยเป็นแคว้นที่ขึ้นตรงต่อลวะปุระ (ละโว้) พระนางจามเทวีเป็นกษัตรีพระองค์แรก นำไพร่พลและศาสนา และศิลปวิทยาการต่างๆ เสด็จล่องแพมาทางลำน้ำปิง เมื่อเลยบริเวณสบทาขึ้นมาทางบริเวณด้านใต้ของเมืองที่วางผังสร้างเมืองรอไว้โดยฤาษีวาสุเทพแห่งอุชุปัตตา (ดอยสุเทพ) พระองค์เสด็จขึ้นฝั่งและตั้งค่ายอยู่ริมแม่น้ำกวงที่เป็นหมู่บ้านลัวะ (ละว้า) ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของวัดกู่ลัวะมัก (รมณียาราม) ต.ต้นธง จ.ลำพูน พระนางก่อเจดีย์และสร้างวัดเป็นแห่งแรก ณ ที่นั่น ก่อนดำเนินการทำพิธีต้อนรับเข้าปกครองเมืองหริภุญชัยอย่างเป็นทางการของเหล่าไพร่พลและชาวลัวะพื้นเมืองหริภุญชัยมีพัฒนาการมาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๒ มีศิลปวัฒนธรรมเจริญรุ่งเรืองสูงสุด ปรากฏหลักฐานในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ ต่อมาในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๙ พญามังราย กษัตริย์หนุ่มเชื้อสายไทโยน (โยนก) แห่งราชวงศ์ลาว ที่มีลวจังกราชแห่งเมืองหิรัญนครเงินยางเป็นปฐมกษัตริย์ ณ ลุ่มน้ำกก หลังจากทรงสร้างเมืองเชียงรายและเมืองพร้าว พญามังรายได้เข้ายึดเมืองหริภุญชัยในสมัยพญายีบาปกครอง พ.ศ. ๑๘๓๖ และสร้างเวียงกุมกามคร่อมเมืองท่าเก่าริมแม่น้ำปิง ก่อนสร้างเมืองเชียงใหม่ขึ้นเป็นราชธานีใหม่ ปราบดาภิเษกตั้งขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรล้านนา ต้นราชวงศ์มังราย เมื่อ พ.ศ. ๑๘๓๙ ขณะนั้นแม้ว่าหริภุญไชยจะอยู่ภายใต้การปกครองของล้านนา แต่ยังคงความเป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนาและศิลปกรรมในที่ราบลุ่มแม่น้ำปิง พญามังรายยอมรับเอาพระพุทธศาสนาจากหริภุญไชยมานับถือและทำนุบำรุงต่อเนื่อง (ขณะเดียวกันก็เริ่มสัมพันธไมตรีต่อสุโขทัยและภูกามยาว) มีการยอมรับรูปแบบของงานสถาปัตยกรรมหริภุญชัย มาสร้างเป็นสถาปัตยกรรมในยุคนั้น เช่น เจดีย์เหลี่ยมหรือกู่คำ ซึ่งพระองค์โปรดให้สร้างขึ้นที่ เวียงกุมกาม ก่อนจะเสด็จไปสร้างเมืองเชียงใหม่ รูปแบบของเจดีย์กู่คำมีต้นแบบมาจากเจดีย์กู่กุด วัดจามเทวี แม้ในสมัยต่อมายุคพระเจ้าแสนภู พระราชนัดดาพญามังราย ยังมีการสร้างเจดีย์ป่าสัก ที่เมืองเชียงแสน ที่ปรากฏอิทธิพลทางด้านรูปแบบมาจากเจดีย์เชียงยันที่ตั้งอยู่ในเมืองหริภุญชัย ผสมผสานกับศิลปเชียงแสนและพุกาม นอกจากนั้นยังมีรูปแบบเจดีย์แบบทรงพิเศษแบบฐานทรงกลมซ้อนชั้นลดหลั่นคล้ายทรงปราสาท ดังเช่น เจดีย์วัดพวกหงษ์ในเมืองเชียงใหม่ ที่พัฒนาสร้างสรรค์ปรับเปลี่ยนมาจากรูปแบบของเจดีย์กูกุดและเจดีย์คำ (สุวรรณโกฏ) ในเมืองหริภุญชัย ภายหลังเกิดรูปแบบของพัฒนาการเจดีย์ในล้านนาที่งดงามหลากหลาย จนเกิดรูปทรงเจดีย์ล้านนาในยุคทองที่งดงามลงตัวหลายแบบ เช่น เจดีย์ล้านนาทรงกลมบนฐานเหลี่ยมย่อมุมแบบที่วัดพระธาตุหริภุญชัย เจดีย์ทรงเหลี่ยมลดชั้นบนฐานเหลี่ยมย่อมุมแบบพระธาตุดอยสุเทพ และเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมที่วัดเจ็ดยอดในเมืองเชียงใหม่ เป็นต้น ศิลปกรรมพระพุทธรูปได้ส่งอิทธิพลถึงรูปแบบพระพุทธรูปของล้านนาด้วยเช่นกัน เช่น พระพุทธรูปทรงเครื่องแบบละโว้ (เช่น ที่ประดิษฐานในพิพิธภัณฑ์วัดพระธาตุหริภุญชัย) พระพุทธรูปในรูปแบบพระเจ้าแข้งคม (เช่น ที่วัดศรีเกิด ในเมืองเชียงใหม่) เป็นต้น สิ่งสำคัญอีกประการที่เกิดขึ้นในยุคพญามังรายคือการประดิษอักษรล้านนาขึ้นใช้ โดยพัฒนามาจากอักษรมอญโบราณของหริภุญชัย (นิยมใช้จารลงใบลานและบันทึกลงปั๊บสา) ขณะเดียวกันมีการยอมรับอักษรขอมจากสุโขทัยมาใช้ร่วมด้วย (ใช้ในการจารึกหลักศิลา)

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ตูบ

เรือนเครื่องผูกภาคเหนือ ภาษาพื้นเมืองเรียกว่า "ตูบ" หมายถึง เรือนที่สร้างขึ้นด้วยไม้บั่ว (ไม้ไผ่) เป็นหลัก ใช้ไม้ไผ่หลายชนิด เช่น ไม้ซาง ไม้ฮวก (รวก) ไม้ตง โครงสร้างเสาเป็นลำไม้ไผ่ หรือไม้เนื้อแข็ง พื้นเป็นไม้ฟากหรือลำไม้ไผ่ทุบเป็นฟาก ฝาทำด้วยไม้ไผ่ขัดแตะ เป็นลายสอง ลายสาม หรือใช้แผงไม้ซางสานเป็นลายต่างๆ เช่น ลายอำ บ้างก็ใช้ฟากทำเป็นผนังก็มี หลังคาสร้างด้วยโครงไม้ไผ่ โดยการยึดโครงสร้างต่างๆ ใช้วิธีเจาะรูและฝังเดือย ประกอบกับการผูกด้วยดอกหรือหวาย หลังคามุงด้วยหญ้าคาหรือใบตองตึง บางแห่งอาจพบว่าใช้ใบคล้อมุง ในตูบมีห้องนอนเดียว โบราณมีการใช้เตาไฟในห้องนอน แต่หลักฐานที่พบในปัจจุบันไม่เกิน ๘๐ ปีที่ผ่านมา มีชานด้านข้างห้องนอนเชื่อมไปยังบริเวณครัวไฟด้านหลังเรือน ไม่ปรากฏมีการทำเตาไฟในห้องนอน สมาชิกของครอบครัวบางครอบครัวอาศัยนอนในห้องนอนเดียวกัน ซึ่งได้แก่พ่อ (เจ้าบ้าน) แม ลูกสาว อุ๊ย (ปู่ บ่า ตา หรือ ยาย) ลูกชายถ้าเริ่มเป็นวัยรุ่น นิยมย้ายไปนอนหน้าห้องนอนที่เป็นพื้นที่ที่เรียกว่า "เติ๋น" เพื่อความเป็นส่วนตัว ตูบไม่มีห้องส้วมหรือห้องน้ำในเรือน คนล้านนาโบราณใช้ชายทุ่งชายป่าเป็นแหล่งขุดหลุมส้วม ภายหลังประมาณ ๖๐ ปีที่ผ่านมามีการสร้างตูบส้วม จนพัฒนามาเป็นตูบส้วมซึม เรือนตูบบางหลังสร้างเรือนครัวแยกออกมาใกล้ๆ ตูบ ด้วยโครงสร้างลักษณะเดียวกันกับตูบแต่เล็กและซับซ้อนน้อยกว่าปัจจุบันไม่ค่อยพบเห็นตูบ คนรุ่นใหม่มองว่าเป็นที่อยู่อาศัยของคนยากจน ส่วนมากที่พอหลงเหลือให้เห็นเป็นการสร้างเถียงนา (ห้างนา) สำหรับไว้เฝ้านา หรือสร้างเป็นร้านค้าบางอย่าง เช่น ร้านเหล้าตอง ร้านขายอาหารพื้นเมือง ร้านขายผักไม้ต่างๆ ตามซอกซอยในหมู่บ้านหรือในกาดก้อม (ตลาดเล็กๆ) กาดงัว (ตลาดนัด) เป็นต้น โบราณนิยมสร้างเป็นเรือนหอชั่วคราวสำหรับการสร้างครอบครัวใหม่ของหนุ่มสาวเวลาออกเรือน ซึ่งสร้างอยู่ในบริเวณบ้านของผู้ปกครองฝ่ายเจ้าสาว เพื่อการติดตามดูพฤติกรรมการครองเรือนที่เหมาะสมของลูกเขยกับลูกสาว ภายหลังเมื่อมีความพร้อมจึงสร้างเรือนหลังใหม่ที่ถาวรขึ้นแทน ตูบนับว่าเป็นเรือนพักอาศัยพื้นฐานของประชาชนทั่วไปนับแต่โบราณกาลก่อนสมัยล้านนา เรือนไม้สักชั้นดีจะถูกจัดให้เป็นที่พักอาศัยของพญา มหากษัตริย์ และเจ้าขุนมูลนายต่างๆ ชาวพื้นบ้านล้านนาเริ่มแพร่ขยายความนิยมสร้างบ้านด้วยไม้เนื้อแข็งโดยเฉพาะไม้สักก็เมื่อสมัยต้นรัตนโกสินทร์ที่ผ่านมา ที่มีชาวอังกฤษและพม่าที่เป็นพ่อค้าไม้ มาสัมปทานไม้ส่งออกไปต่างประเทศ และสร้างบ้านเรือนตนเองด้วยไม้สักและไม้เนื้อแข็งชนิดอื่นๆ ขึ้นมากมาย เศรษฐกิจและสังคมที่เริ่มเปลี่ยนแปลง ทำให้คติการใช้ไม้สักและไม้เนื้อแข็งสร้างบ้านของไพร่ไททั้งหลายจึงเปลี่ยนแปลงไป ความเชื่อที่ว่าไม่เหมาะสมและไม่เป็นมงคลจึงได้สูญหายไป ถือเป็นสิทธิของผู้มีกำลังเงินซื้อวัสดุไม้มาปลูกบ้านดังเช่น พ่อค้าและชาวต่างชาติที่เข้ามาในล้านนาทั้งหลาย