วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ควั่น

ควั่น
ควั่น (ควั่นฯ) คือ โครงแผงไม้สำหรับเก็บของระดับเหนือศรีษะ ทำด้วยระแนงไม้ไผ่หรือไม้สัก สานหรือประกอบขัดกันเป็นช่องตารางห่างเป็นช่วง เท่าๆ กัน พอที่จะนำเอาน้ำต้น (คนโท) ไปคว่ำเสียบเก็บไว้ หรืออาจเก็บของใช้ในชีวิตประจำวันที่จำเป็นอื่นๆ เช่น ขัน โอ (ขันขนาดใหญ่ บางขันอาจมีฝาปิดด้วย) เสื่อ กระบุง ตะกร้า เป็นต้น โครงแผงของควั่นจะถูกติดตั้งอยู่เหนือขื่อหรือแปหัวเสา เหนือพื้นที่เติ๋น (ชานร่มยกพื้นใต้ชายคาหน้าเรือน)โดยถ่ายน้ำหนักสิ่งของที่วางไว้ ลงบนขื่อหรือแป ซึ่งถ่ายน้ำหนักไปลงเสาเรือนอีกที นับเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านล้านนาในการจัดระเบียบการใช้ที่ว่างภายในเรือนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม ทำให้ควั่นมีลักษณะเป็นเพดานของเรือนไปด้วยในขณะเดียวกัน ในห้องครัว (เต๋าไฟ) นิยมทำควั่นผืนขนาดไม่ใหญ่มากเพื่อใช้ผึ่งถนอมอาหารเหนือเตาไฟเช่นกัน วิธีการเช่นนี้นอกจากถนอมอาหารแล้วยังช่วยขับไล่แมลงไม่ให้มาไต่ตอมหรือแทะกินเช่นกัน


 












ที่มา : ภาพเติ๋นบนเรือนคำเที่ยง ในสยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์
อ้างอิง: เชาวลิต สัยเจริญ, บทความร่างก่อนส่งให้ชมรมฮักตั๋วเมืองไปลงนิตยสาร มติชน รายสัปดาห์

เสาแหล่งหมา

เสาแหล่งหมา

คำว่า “แหล่ง” ในคำว่า “เสาแหล่งหมา” หมายถึง หลักแหล่ง หรือ ที่อยู่ “เสาแหล่งหมา” จึงเป็นส่วนประกอบของเรือนชาวไตหลายเผ่า ที่เป็นเสาเรือนต้นแรกหน้าบันไดทางขึ้นเรือน เป็นที่อยู่ของหมาเฝ้าเรือน พื้นที่ส่วนนี้เมื่อถามเจ้าของเรือนทั้งหลายในอดีต พบว่า ผู้สร้างเรือนไม่ได้ตั้งใจสร้างเพื่อให้หมาอาศัยอยู่ เสาต้นนี้สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นโครงสร้างรับหลังคาที่คลุมบันไดหน้าเรือนเป็นหลัก แต่ครอบครัวที่เลี้ยงหมาทุกครัวเรือนจะเห็นหมาที่ตนเลี้ยงไว้นั้น ชอบมาอยู่มานั่งนอนเฝ้าเรือนให้อย่างซื่อสัตย์ที่หัวบันไดเรือนตรงตำแหน่งนี้ ชาวไตเหล่านี้จึงเรียกเสาต้นนี้ว่าเสาแหล่งหมา เรือนลักษณะนี้ผู้เขียนพบว่ามีลักษณะเฉพาะที่พบในเรือนของชาติพันธุ์ ไตลื้อ ไตเขิน ไตใหญ่ ไตยวน และไตลาวบางกลุ่ม เป็นหลัก ซึ่งมีการตั้งถิ่นฐานกระจายอยู่โดยรอบลุ่มแม่น้ำโขงตอนใต้ของมณฑลยูนนานลงมาในพื้นที่ตอนเหนือของลาวผ่านหลวงพระบางมาสู่อีสานเหนือและภาคเหนือของไทย ต่อเนื่องไปสู่พื้นที่ฟากตะวันออกของรัฐฉานในเขตพม่า เรือนบางหลังจะมีตุ่มใส่น้ำล้างเท้าข้างๆ เสาแหล่งหมา สมัยหลังสร้างเป็นบ่อล้างเท้าขนาดเล็กทรงหลมหรือสี่เหลี่ยม พื้นดินข้างๆ นิยมปลูกไม้ดอกไม้ประดับพื้นบ้านที่ได้น้ำจากการล้างเท้าโดยไม่ได้ตั้งใจรด ทำให้เติบโตสวยงามตามธรรมชาติ เป็นเอกลักษณ์หนึ่งในวิถีพื้นบ้านล้านนา


ที่มาของภาพ: ผู้เขียนถ่ายที่เรือนกาแลอายุประมาณ ๑๑๐ ปี ในพิพิธัณฑ์เรือนโบราณ สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

อ้างอิง: เชาวลิต สัยเจริญ, บทความร่างก่อนส่งให้ชมรมฮักตั๋วเมืองไปลงนิตยสาร มติชน รายสัปดาห์

วันพฤหัสบดีที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ฝาไหล (ฝาไหลฯ)

ฝาไหล (ฝาไหลฯ)

ฝาหมายถึงระนาบแนวตั้งที่ปิดล้อมที่ว่างของห้องหรืออาคาร ไหลคือลักษณะที่เลื่อนไป ในเขตวัฒนธรรมล้านนาเรียกฝาผนังอาคารที่เลื่อนไปมาได้ว่าฝาไหล เป็นลักษณะที่ตรงกับการใช้คำในปัจจุบันที่ว่า บานเลื่อน ซึ่งบานเลื่อนในปัจจุบันมีใช้กับประตูและหน้าต่าง ส่วนฝาไหลตามที่มการใช้ใช้กับรูปแบบช่องหน้าต่างเป็นหลัก ยังพบว่ามีการใช้ฝาไหลในระนาบฝาระดับเหนือพื้นเรือนเล็กน้อย หรือระดับใต้หน้าต่าง โครงสร้างของฝาไหลประกอบไปด้วยระนาบฝาสองชั้น แต่ละชั้นมีการเจาะช่องเปิด การเลื่อนฝาสามารถควบคุมการเปิดปิดของช่องเปิดได้ คือ หากช่องของฝามาตรงกันก็จะเป็นการเปิด หากช่องของระนาบด้านในไม่ตรงกับช่องของระนาบผนังด้านนอกก็จะเป็นการปิด ชาวล้านนานิยมทำฝาไหลในส่วนที่ต้องการการระบายอากาศและต้องการปิดในบางครั้งเพื่อกันลมหนาวหรือพื่อความเป็นส่วนตัว ที่นิยมได้แก่ฝาไหลที่ผนังห้องครัว ฝาไหลในห้องนอน ฝาไหลที่ราวกันตกในส่วนชานและเติ๋น (ชานยกระดับใต้ชายคาหน้าห้องนอน) ปัจจุบันไม่นิยมทำฝาไหลในบ้านสมัยใหม่ เนื่องจากต้องใช้ไม้ที่มีราคาแพง และเป็นการปิดกั้นมุมมอง วัสดุกระจกจึงเป็นวัสดุใหม่ที่มาทดแทนประกอบกับเทคนิคการใช้เทคโนโลยีการติดตั้งบานหน้าต่างมีการพัฒนาไปดีขึ้น

ที่มา: เชาวลิต สัยเจริญ, ต้นฉบับร่างเพื่อส่งให้ ชมรมฮักตั๋วเมือง สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นำลงตีพิมพ์ในวารสาร มติชน รายสัปดาห์

กาแล (กาแล)

กาแล (กาแล)
อ่านว่า “ก๋าแล” หมายถึง ส่วนประกอบส่วนปลายยอดป้านลมที่หน้าจั่วหลังคาของเรือนพื้นบ้านล้านนา ที่มีพัฒนาการมานานหลายร้อยปีจนมีรูปแบบทางประเพณีที่ลงตัว เรือนกาแลโบราณเป็นเรือนหลังคาเดี่ยวยกพื้นเรือนสูง พัฒนามาจากเรือนเครื่องผูกโครงสร้างไม้ไผ่ที่เรียกว่า ตูบ  (ตูบ) จากหลักฐานอายุเรือนกาแลที่เก่าที่สุดมีอายุประมาณร้อยกว่าปี พบว่านิยมสร้างเป็นเรือนหลังคาจั่วแฝด โดยมีส่วนยอดหลังคาที่จั่วเป็นปลายป้านลมที่แกะสลักเป็นกาแลอย่างสวยงาม ตามหลักฐานพบว่าเรือนกาแลส่วนใหญ่ปลูกสร้างในชุมชนเมืองเชียงใหม่ในอดีต และกระจายตัวไปตามชุมชนสำคัญโดยรอบเชียงใหม่ เช่น สันทราย แม่ริม หางดง สันป่าตอง แม่แจ่ม เป็นต้น เรือนกาแลถือได้ว่าเป็นเรือนของผู้มีฐานะดี ในอดีต เจ้าของเรือนมักเป็นเกษตรกรผู้ทำนาทำไร่ที่สร้างผลผลิตการเกษตรออกสู่ตลาดได้เป็นจำนวนมาก ได้แก่ ข้าว หอม กระเทียม และลำใย ในสมัยโบราณก่อนสังคมยุคเศรษฐกิจคือก่อนสมัยรัตนโกสินทร์นั้น เจ้าของเรือนกาแลเป็นของกลุ่มชนชั้นหัวหน้าชุมชน หรือคหบดี ซึ่งสอดคล้องกับประเพณีการสร้างเรือนกาแลชาวลัวะที่อาศัยบนไหล่เขาสูงทางใต้และทางทิศตะวันตกของเมืองเชียงใหม่ โดยจะสร้างเรือนกาแลที่สวยงามแข็งแรงสำหรับหัวหน้าชนเผ่าที่เรียกว่า “สะมาง”




นักวิชาการไทยสันนิษฐานในหลายประเด็น ประเด็นแรกเชื่อว่า กาแล ถูกทำขึ้นตามอิทธิพลความเชื่อในลัทธิบูชาหลุมศพบรรพบุรุษของชาวลัวะหรือละว้าโบราณ โดยปักเครื่องรางกิ่งไผ่สัญลักษณ์กากบาทไว้บนหลุมศพ ภายหลังมีการนำมาแขวนบูชาและกันสิ่งชั่วร้ายบนยอดหลังคา และภายหลังพัฒนาตกแต่งเป็นกาแล ประเด็นที่สองเชื่อว่าเป็นเพราะการทำกาแลไว้บนหลังคาให้มีลักษณะคล้ายเหยี่ยวกระพือปีก เพื่อป้องกันอีกามาเกาะหลังคา ซึ่งชาวล้านนาถือว่าจะนำความอัปมงคลมาสู่เรือน ประเด็นที่สามสันนิษฐานโดยนักวิชาการต่างถิ่น ที่กล่าวว่าอาจเป็นเพราะชาวเชียงใหม่ถูกชาวพม่าบังคับให้ทำกาแลไว้บนหลังคาเพื่อข่มและสร้างความอัปมงคลให้คนเชียงใหม่ ประเด็นสุดท้ายนักวิชาการทางด้านสถาปัตยกรรมและล้านนาคดีสมัยใหม่ สันนิษฐานว่า กาแลน่าจะพัฒนามาจากความจำเป็นในประโยชน์ใช้สอยของป้านลม ที่โครงสร้างต้องไขว้ขัดกันเพื่อยึดป้านลมกับแปหลังคาให้แข็งแรงกันแรงลมกระพือแผ่นมุงหลังคาให้ปลิว ส่วนปลายของป้านลมที่ขัดกันนั้น มีพัฒนาการมาจากป้านลมของเรือนเครื่องผูกที่เป็นลำไม้ไผ่ขัดกันบนยอดหลังคาเช่นกัน ส่วนป้านลมเรือนกาแลที่เป็นไม้สักโดยส่วนใหญ่ มีขนาดแผ่นกว้าง การแกะสลักปลายป้านลมจะช่วยลดความเทอะทะและเพิ่มความงดงามให้แก่เรือน ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์อันน่าภูมิใจของเจ้าของเรือนที่ได้โชว์ฝีมือการแกะสลักไม้ และนับว่าเป็นเครื่องหมายประจำตระกูลได้ด้วย นอกจากนั้นสัญลักษณ์สำคัญที่ไม่ด้อยไปกว่ากาแลคือ “หำยนต์” คือ ทับหลังประตูห้องนอน ซึ่งจะกล่าวในโอกาสต่อไป



ที่มา: เชาวลิต สัยเจริญ, ต้นฉบับร่างเพื่อส่งให้ ชมรมฮักตั๋วเมือง สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นำลงตีพิมพ์ในวารสาร มติชน รายสัปดาห์

ซุ้มโขง (ซุ้มฯโขงฯ)

ซุ้มโขง (ซุ้มฯโขงฯ)

ซุ้มโขง หมายถึง ซุ้มประตูทางเข้าบริเวณพื้นที่ศาสนสถานหรืออาคารพิเศษในวัฒนธรรมล้านนา สร้างขึ้นด้วยศิลา อิฐ ปูน หรือไม้ มีความเป็นมาเชื่อมโยงกับคติความเชื่อและขนบธรรมเนียมที่มีมาแต่โบราณก่อนสมัยล้านนา สันนิษฐานตามหลักฐานทางโบราณคดีและศิลปกรรมที่พบว่ามีการสร้างซุ้มทางเข้าตั้งแต่สมัยขอมเรืองอำนาจในพื้นที่ประเทศไทยในอดีต สัมพันธ์กับระบบความเชื่อและธรรมเนียมประเพณีในศาสนา พราหมณ์-ฮินดู ที่ได้รับมาจากอินเดียอีกทอด เพื่อวัตถุประสงค์ในการเสริมความเป็นมงคลและให้ความสำคัญแก่บุคคลสำคัญในการต้อนรับ หรือสร้างเป็นทางลอดไปสู้พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์หรือพื้นที่ๆ พิเศษ โดยซุ้มประตูจะได้รับการสร้างและตกแต่งงดงามเป็นพิเศษ ซุ้มประตูแบบชั่วคราวตกแต่งด้วยต้นไม้ ใบไม้ และดอกไม้ เช่น ซุ้มประตูป่า (ซุ้มฯระฯปตูป่า) ในงานตกแต่งประตูในงานประเพณียี่เป็งของล้านนา ซุ้มประตูแบบถาวรนิยมสร้างไว้ในศาสนสถาน สร้างด้วยวัสดุก่อสร้างที่แข็งแรงและมีเรือนยอด คือ ซุ้มโขง หรือ ประตูโขง สร้างไว้เป็นประตูทางเข้าวัด โบสถ และ วิหาร ซุ้มโขงอีกประเภทสร้างไว้เพื่อประดิษฐานพระพุทธรูป เรียกว่า โขงพระเจ้า (โขงฯระฯพจู้) ซึ่งถูกกำหนดไว้ในตำแหน่งประธานของห้องวิหารหรือโบสถ โดยปกติซุ้มโขงมีประตูไม้ที่มีกลอน ตัวซุ้มนิยมก่อด้วยหินหรืออิฐสอปูน มีการออกแบบให้มีส่วนฐาน ส่วนองค์ซุ้ม และส่วนยอด การย่อมุมตัวซุ้มทำให้สวยงามดูไม่เทอะทะ การทำยอดซุ้มช่วยให้ดูสวยสง่างามเป็นพิเศษ การประดับตกแต่งโดยเฉพาะรูปแบบในสมัยที่พระพุทธศาสนารุ่งเรืองสูงสุดในล้านนา ในสมัยพระเจ้าติโลกราชจนถึงสมัยพระเมืองแก้ว  ซุ้มโขงจะได้รับการตกแต่งด้วยปูนปั้น เซรามิก กระจก และเทคนิคการลงรักปิดทอง ด้วยลวดลายทมี่วิจิตรงดงาม ลวดลายต่างๆ และประติมากรรมตกแต่ง สะท้อนสัญลักษณ์ความเชื่อคติจักรวาล และการมีอยู่ของสวรรค์แดนทิพย์และป่าหิมพานต์ ตัวอย่างเช่น ประติมากรรมรูป เทวดา กินรี หงส์ พญานาค และดอกไม้สวรรค์ เป็นต้น

ที่มา: เชาวลิต สัยเจริญ, ต้นฉบับร่างเพื่อส่งให้ ชมรมฮักตั๋วเมือง สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นำลงตีพิมพ์ในวารสาร มติชน รายสัปดาห์

ดินขอ (ดินฯขอฯฯ)

ดินขอ (ดินฯขอฯฯ)
ดินขอ หมายถึงกระเบื้องดินเผาชนิดหนึ่ง ที่ชาวล้านนาและชาวไตเผ่าต่างๆ ในลุ่มแม่น้ำโขงได้ประดิษฐ์ขึ้นใช้เพื่อเป็นวัสดุมุงหลังคาเรือนมาแต่โบราณ สันนิษฐานว่าภูมิปัญญาทางเทคนิควิทยาประเภทนี้มีพัฒนาการมานานเกินกว่า ๑,๔๐๐ ปี อย่างน้อยในสมัยหริภุญไชยที่สามารถตรวจสอบพบหลักฐานทางโบราณคดี และน่าจะเก่าแก่ไปถึงสมัยหิรัญนครเงินยาง ก่อนมีอาณาจักรโยนกนาคพันธุ์ วัสดุหลักที่ใช้ประดิษฐ์ทำจากดินเหนียวจากหนองน้ำหรือทุ่งนา เฉพาะตัวดินเหนียวล้วน ๆ เมื่อนำมานวดแล้วปั้นเป็นอิฐ นำไปตากแดดหรือเผาไฟ เรียกว่า ดินจี่ (ดินฯจี่) ใช้เป็นวัสดุก่อสร้าง ส่วนในการทำดินขอ จะนำดินเหนียวมานวดและใส่ส่วนผสมมากกว่าเนื้ออิฐ คือ เพิ่มความเหนียวและคงทนให้มากขึ้น ด้วยการผสมแกลบ และเศษฟางหญ้าเข้าไปในดินเหนียวที่นวดด้วย ดินขอแต่ละชุมชนอาจมีส่วนผสมที่มีสัดส่วนแตกต่างกัน ตามหลักฐานเรือนกาแลโบราณที่มีอายุเกินกว่า ๑๐๐ ปี มีดินขอที่ยังใช้งานได้ดี ที่มีอายุใช้งานยืนนานเพราะได้ใส่ส่วนผสมพิเศษมากขึ้นเพิ่มเติม ได้แก่ กาวหนังและน้ำอ้อย มีคุณสมบัติทั้งเป็นตัวประสานและเพิ่มความคงทนที่เยี่ยม อีกทั้งสามารถทำให้แผ่นดินขอมีความบางเบาได้มาก ช่วยลดน้ำหนักโครงสร้างหลังคาอาคารได้ แต่เดิมนิยมผลิตดินขอ โดยปั้นและทำเตาเผาในบริเวณพื้นที่ก่อสร้างอาคาร เพื่อลดภาระและความเสียหายระหว่างการขนย้าย พบการใช้ดินขอมุงหลังคาในบ้านชาวไต ที่ตั้งถิ่นฐานทั้งในและนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ไตยวน ไตลื้อ ไตขึน ไตใหญ่ นอกจากนั้นยังมีการถ่ายทอดไปสู่ชาติพันธุ์บางเผ่า เช่น ชาวลัวะ ชาวขมุ เป็นต้น

ที่มา: เชาวลิต สัยเจริญ, ต้นฉบับร่างเพื่อส่งให้ ชมรมฮักตั๋วเมือง สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นำลงตีพิมพ์ในวารสาร มติชน รายสัปดาห์

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สถาปัตยกรรมพื้นถิ่นชนกลุ่มน้อยในล้านนา

สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น (Vernacular architecture) เป็นสิ่งที่คนแต่ละเผ่าสร้างขึ้น (Built environment) เป็นส่วนหนึ่งของภูมิทัศน์วัฒนธรรม (Cultural landscape) ของแต่ละชุมชน มีลักษณะ (Characteristics) ที่สะท้อนถึง ความต้องการพื้นฐานด้านการอยู่อาศัย ภายใต้ภูมิปัญญาที่แก้ปัญหาจากข้อกำหนดทางบริบทแวดล้อมของชุมชน ไม่ว่าจะเป็น สภาพแวดล้อมทางกายภาพพื้นที่ สภาพดินฟ้าอากาศ วัสดุท้องถิ่นที่หาได้ ค่านิยม ความเชื่อ จารีต และโลกทัศน์ความเป็นอยู่ สร้างขึ้นตามสัญชาตญานทางธรรมชาติของมนุษย์ สร้างขึ้นกันเองโดยไร้สถาปนิกหรือนักออกแบบอาชีพ เน้นความลงตัวเรียบง่ายของการใช้งานตามเหตุผล มากกว่าการสร้างเพื่อโอ้อวดสถานะทางสังคมหรือเป็นไปในทางฟุ่มเฟือย ความงดงามของสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น จึงเป็นความงามที่ซื่อตรง บริสุทธิ์ ถ่อมตน และมีเอกลักษณ์ตามแต่ละท้องที่

สถาปัตยกรรมพื้นถิ่นในล้านนา มีทั้งที่เป็นของชาติพันธุ์คนเมือง (ไตยวนและลูกผสม) ไตลื้อ ไตใหญ่ ไตเขิน ไตยอง และสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นของชนกลุ่มน้อย ชนกลุ่มน้อยในที่นี้หมายถึงชาติพันธุ์บริสุทธิ์ที่เคยอยู่ในพื้นที่ ได้แก่ ชาวลัวะ และชาติพันธุ์ที่เคลื่อนย้ายเข้ามาอยู่ในล้านนาภายหลัง ได้แก่ ชาวม้งที่มีการเคลื่อนย้ายเข้ามาประมาณร้อยกว่าปี ชาวกะเหรี่ยงที่เคลื่อนย้ายเข้ามาภายหลัง รวมทั้ง ชาวอาข่า ชาวมูเซอ ชาวปะหล่อง ชาวเย้า เป็นต้น

สถาปัตยกรรมพื้นถิ่นของพวกเขา สะท้อนให้เป็นความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมการก่อสร้างจากแหล่งตั้งถิ่นฐานเดิมที่ปรากฏในรูปแบบการเลือกที่ตั้งถิ่นฐาน ชาวม้งตั้งถิ่นฐานบนยอดดอย ที่ตำแหน่งเหนือระดับน้ำทะเลที่สูงกว่าชาวเขาเผ่าอื่นๆ เพราะนับถือผีฟ้าและกลัวผีน้ำ จึงไม่ตั้งชุมชนติดแหล่งน้ำ ชาวอาข่าเลือกที่ตั้งถิ่นฐานบนดอยสูงเช่นกันแต่ไม่เลือกบนยอดดอยเหมือนขาวม้ง ชาวลัวะเลือกที่ตั้งถิ่นฐานบนที่ราบเนินเขาหรือบนไหล่เขาใกล้แหล่งน้ำ ชาวกะเหรี่ยงนับถือผีฟ้าเกรงกลัวผีฟ้าและเลือกตั้งถิ่นฐานติดลำห้วยตามซอกเขา

รูปแบบการก่อสร้างที่เชื่อมโยงกับแหล่งที่ตั้งถิ่นฐานเดิมของชนกลุ่มน้อย เช่น การสร้างเรือนติดพื้นดินของชาวม้งที่นิยมทำกันแบบในเขตยูนนาน หรือการสร้างเรือนยกพื้นใต้ถุนสูงของชาวลัวะและกะเหรี่ยง ชาวอาข่าสร้างเรือนยกพื้นที่ต่ำกว่าเรือนลัวะและกะเหรี่ยง บนดอยสูงพื้นที่ลาดเท เหมือนชาวอาข่าในเขตยูนนาน ส่วนชาวเขาอพยพเผ่าอื่นที่เคลื่อนตัวเข้ามาภายหลัง มักประสบปัญหาเรื่องการขาดแคลนพื้นที่ตั้งถิ่นฐาน รัฐบาลเห็นว่าเป็นกลุ่มที่บุกรุกพื้นที่ป่า การแก้ปัญหาภายหลังจึงต้องมีการจัดสรรพื้นที่ตั้งถิ่นฐานให้ แต่ยังขาดแคลนพื้นที่ทำกินด้านการเษตรเลี้ยงชีพ ฉะนั้นกลุ่มหลังนี้จึงไม่สามารถสร้างเรือนพักอาศัยให้มีสภาพที่เหมาะสมหรือสะท้อนเอกลักษณ์จากแหล่งที่อพยพมาที่ชัดเจน ระบบการสร้างภูมิปัญญาและอัตลักษณ์ชนเผ่าไม่เข้มแข็ง มักมีการหยิบยืมภูมิปัญญาของชนเผ่าข้างเคียงมาใช้ ซึ่งอาจไม่เพียงแต่ด้านการก่อสร้าง เราอาจพบทั้งรูปแบบการแต่งกาย การทำการเกษตร เครื่องประดับกาย เครื่องมือในการดำรงชีพ เป็นต้น


สาปัตยกรรมพื้นถิ่นของแต่ละชนเผ่า มองภาพรวมอาจดูคล้ายกัน แต่ในความเป็นจริงมีความแตกต่างกันอยู่มากหลายมุม ต้องศึกษาลงไปรายละเอียดของประวัติความเป็นมาชนเผ่า วัฒนธรรมชนเผ่า ด้าน ความเชื่อ จารีตและประเพณีต่างๆ ซึ่งพบว่า สัมพันธ์ไปกับทิศทางและองค์ประกอบการวางผังหมู่บ้าน และ การวางผังบ้าน รวมทั้งการกำหนดพื้นที่ว่างสาธารณะ พื้นที่ว่างกึ่งสาธารณะ และพื้นที่ว่างครัวเรือน รวมทั้งพื้นที่ว่างส่วนบุคคล มีพื้นที่พิเศษที่สะท้อนสถานะทางสังคมของชนเผ่า ผู้นำ หมอผี เพศสภาวะ และมีพื้นที่สำหรับผีและวิญญานบรรพบุรุษ โดยมีระเบียบข้อห้ามเชิงปฏิบัติบางประการที่เกี่ยวเนื่องที่มีรายละเอียดซับซ้อนมากขึ้น ต้องใช้เวลาและความสนใจในการศึกษาลึกซึ้งเพิ่มเติมเป็นพิเศษ

ปัจจุบันสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นของชนเผ่าต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องการใช้วัสดุท้องถิ่นไปเป็นวัสดุสมัยใหม่มากขึ้น จนบางหมู่บ้านไม่สามารถหารูปแบบเอกลักษณ์แบบดั้งเดิมหลงเหลือ เพราะการขาดแคลนวัสดุก่อสร้างจากธรรมชาติ การลดจำนวนลงของต้นไม้ใหญ่ในป่า ต้นตองตึง (พลวง) ต้นค้อ หญ้าคา เป็นต้น การใช้วัสดุสมัยใหม่ช่วยให้เสียเวลาในการคอยซ่อมแซมบ้านน้อยลง ซึ่งปกติซ่อมหลังคาใบไม้ทุกสองถึงสามปี การเสียเวลาเสาะหาวัสดุมุงหลังคาซึ่งหายากมากขึ้น พวกเขาคิดว่าสู้ใช้เวลาในการทำงานหรือขายแรงงานแลกเงินเพื่อมาซื้อวัสดุมุงหลังคาแบบใหม่ เช่น สังกะสี กระเบื้องลอน จะทำให้คงทนกว่า แม้จะทำให้ในบ้านร้อนขึ้น และเมื่อหาเงินได้มากขึ้นอีกก็จะซื้อวัสดุสมัยใหม่มาซ่อมสร้างในโครงสร้างส่วน ผนัง พื้น ฯลฯ อีก และถ้าหาเงินได้มากขึ้นอีก ก็จะมีความสะดวกสบายในชีวิตที่ยกระดับขึ้นและทันสมัยตามอย่างคนในเมืองมากขึ้น สิ่งอำนวยความสะดวกที่ต้องการได้แก่ มอเตอร์ไซด์ รถกระบะ วิทยุ ทีวี ตู้เย็น พัดลม เครื่องเล่นดีวีดี ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ถูกมองว่าเป็นเรื่องเชิดชูฐานะของตนเองเช่นกัน